TLDR สรุปสั้นๆ
CHAR ใช้แปลงตัวเลขเป็นอักขระ โดยรองรับรหัส ANSI มากถึง 255 ตัวแรก
คำอธิบาย
CHAR เป็นฟังก์ชันใน Excel ที่ใช้ในการแปลงรหัสตัวเลขให้เป็นอักขระตามชุดอักขระ (Character Set) ของคอมพิวเตอร์ที่ใช้งาน สามารถใช้ในการแปลงรหัส ANSI หรือ Unicode จากไฟล์ในเครื่องคอมพิวเตอร์อื่นให้เป็นอักขระได้
มีครั้งแรกในเวอร์ชันไหน
2003 หรือ Version ก่อนหน้า
รูปแบบคำสั่ง (Syntax)
CHAR(number)
Arguments
-
number (Required – number)
ตัวเลขที่ต้องการแปลงให้เป็นอักขระ โดยต้องเป็นค่าระหว่าง 1 ถึง 255 ตัวเลขนี้ระบุว่าต้องการอักขระใดในชุดอักขระของคอมพิวเตอร์
ตัวอย่างการใช้งาน (Examples)
-
Formula:
Description: แสดงอักขระที่มีรหัส 65 ในชุดอักขระของคอมพิวเตอร์=CHAR(65)
Result:A (แสดงอักขระ A ซึ่งเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษพิมพ์ใหญ่) -
Formula:
Description: แสดงอักขระที่มีรหัส 33 ในชุดอักขระของคอมพิวเตอร์=CHAR(33)
Result:! (แสดงเครื่องหมายอัศเจรีย์) -
Formula:
Description: ใช้เพิ่มตัวแบ่งบรรทัดในข้อความ=CHAR(10)
Result:(ไม่มีการแสดงอักขระ แต่จะมีการแบ่งบรรทัดในข้อความที่ใช้) -
Formula:
Description: ใช้ควบคู่กับ CHAR เพื่อหาค่า ASCII ของอักขระ 'A' จากนั้นแปลงกลับเป็นอักขระด้วย CHAR=CODE("A")
Result:65 (แสดงตัวเลข 65 ซึ่งคือ ASCII ของ A) -
Formula:
Description: ใช้ CHAR(10) เพื่อรวมข้อความสองบรรทัดเข้าด้วยกันพร้อมตัวแบ่งบรรทัด="Line1"&CHAR(10)&"Line2"
Result:(แสดง "Line1\nLine2" ซึ่งขึ้นบรรทัดใหม่ระหว่าง Line1 และ Line2)
Tips & Tricks
1. ใช้ CHAR(10) เพื่อสร้างการแบ่งบรรทัดภายในเซลล์ระหว่างข้อความ 2. ระวังไม่ให้ใส่ค่าที่ไม่ใช่ตัวเลขหรือเกิน 255 จะทำให้เกิดข้อผิดพลาด #VALUE! 3. ใช้ควบคู่กับ IF หรือการจัดรูปแบบแบบมีเงื่อนไขเพื่อปรับลักษณะของข้อมูลตามความต้องการได้
ข้อควรระวัง (Cautions)
CHAR ทำงานเฉพาะค่าที่อยู่ในช่วง 1-255 เท่านั้น ถ้าต้องการใช้อักขระเกินจากนี้แนะนำให้ใช้ฟังก์ชัน UNICHAR แทน ซึ่งรองรับ Unicode ฟังก์ชันนี้ยังอาจแสดงผลไม่เหมือนกันในแต่ละระบบปฏิบัติการ เช่น CHAR(10) ใน Windows อาจไม่ตรงกับใน Mac ควรตรวจสอบอักขระที่ใช้เสมอ
ฟังก์ชันที่เกี่ยวข้อง
References
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ ❤️
Leave a Reply