TLDR สรุปสั้นๆ
COLUMN คืนค่าเป็นเลขคอลัมน์ของเซลล์หรือช่วงเซลล์ที่ระบุ
คำอธิบาย
ฟังก์ชัน COLUMN ใน Excel ใช้ในการหาเลขของคอลัมน์ของเซลล์หรือช่วงเซลล์ที่ระบุ โดยจะคืนค่าเป็นตัวเลขแสดงลำดับของคอลัมน์นั้น ๆ เช่น ถ้าเราใส่ B5 ในฟังก์ชัน COLUMN จะได้ค่าเท่ากับ 2 เพราะคอลัมน์ B เป็นคอลัมน์ลำดับที่ 2
มีครั้งแรกในเวอร์ชันไหน
Excel 2003 หรือก่อนหน้า
รูปแบบคำสั่ง (Syntax)
COLUMN([reference])
Arguments
-
reference (Optional – Reference)
ตัวอ้างอิงหรือช่วงเซลล์ที่ต้องการหาเลขคอลัมน์ สามารถเว้นไว้ได้ซึ่งจะแสดงเลขคอลัมน์ของเซลล์ที่ฟังก์ชัน COLUMN อยู่
ตัวอย่างการใช้งาน (Examples)
-
Formula:
Description: ค้นหาเลขคอลัมน์ของเซลล์ B4=COLUMN(B4)
Result:2 (เพราะ B เป็นคอลัมน์ที่สอง) - Formula:
Description: ค้นหาเลขคอลัมน์ของช่วงเซลล์ B2:D10=COLUMN(B2:D10)
Result: {2,3,4} ได้เป็น Array ที่มี 3 ค่า คือ เลข 2, 3 และ 4 เพราะมาจากคอลัมน์ B:D - Formula:
Description: ค้นหาเลขคอลัมน์ของเซลล์ที่ฟังก์ชันนี้ตั้งอยู่=COLUMN()
Result:เลขคอลัมน์ที่เซลล์ในตารางนี้อยู่ในขณะนั้น - Formula:
Description: ตรวจสอบว่าคอลัมน์ปัจจุบันใน Excel เป็น เลขคู่ หรือไม่=MOD(COLUMN(), 2)=0
Result: ได้ค่า TRUE/FALSE ขึ้นอยู่กับว่าเป็นคอลัมน์ลำดับเลขคู่ เช่น B, D, F หรือไม่?
Tips & Tricks
ฟังก์ชัน COLUMN สามารถใช้ประโยชน์ในการใช้ร่วมกับ Conditional Formatting เช่น ช่วยให้เราสามารถกำหนดสีสันหรือฟอร์แมตอื่นๆ ตามเลขคอลัมน์ได้ เช่น ต้องการเปลี่ยนสีพื้นหลังทุกคอลัมน์ที่เป็นจำนวนคู่ สามารถใช้เงื่อนไข =MOD(COLUMN(), 2) = 0 ในการฟอร์แมตตามเงื่อนไขแบบ Use Formula ได้อย่างมีประสิทธิภาพ.
ข้อควรระวัง (Cautions)
ระวังการใช้ฟังก์ชัน COLUMN กับช่วงเซลล์ใน Excel Version เก่าที่ไม่รองรับ Dynamic Array เพราะจะคืนค่าคอลัมน์ของเซลล์ซ้ายสุดเท่านั้น หากต้องการคืนค่าทั้งหมดต้องกดลากพื้นที่แล้วกด Ctrl+Shift+Enter เอง
ฟังก์ชันที่เกี่ยวข้อง
References
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ ❤️
Leave a Reply