TLDR สรุปสั้นๆ
ISREF ตรวจสอบว่าค่าที่กำหนดเป็นการอ้างอิงเซลล์หรือช่วงที่ถูกต้องหรือไม่ แสดงผลเป็น TRUE หรือ FALSE
คำอธิบาย
ฟังก์ชัน ISREF ใน Excel ใช้ในการตรวจสอบว่าค่าที่กำหนดนั้นเป็นการอ้างอิงเซลล์หรือช่วงที่ถูกต้องหรือไม่ โดยผลลัพธ์จะเป็น TRUE ถ้าเป็นการอ้างอิงที่ถูกต้อง และ FALSE ถ้าไม่ใช่
มีครั้งแรกในเวอร์ชันไหน
Excel 2003 หรือเวอร์ชันก่อนหน้า
รูปแบบคำสั่ง (Syntax)
ISREF(value)
Arguments
-
value (Required – any)
ค่าที่ต้องการตรวจสอบว่าเป็นการอ้างอิงหรือไม่ สามารถเป็นเซลล์หรือช่วงที่คุณต้องการตรวจสอบ
ตัวอย่างการใช้งาน (Examples)
-
Formula:
Description: ตรวจสอบว่า A1 เป็นการอ้างอิงที่ถูกต้องหรือไม่=ISREF(A1)
Result:TRUE (เนื่องจาก A1 เป็นการอ้างอิงเซลล์ที่ถูกต้อง) -
Formula:
Description: ตรวจสอบว่า G8 เป็นการอ้างอิงที่ถูกต้องหรือไม่=ISREF(G8)
Result:TRUE (เนื่องจาก G8 เป็นการอ้างอิงเซลล์ที่ถูกต้อง) -
Formula:
Description: ตรวจสอบว่า XYZ1 เป็นการอ้างอิงที่ถูกต้องหรือไม่=ISREF(XYZ1)
Result:FALSE (เนื่องจาก XYZ1 ไม่ใช่การอ้างอิงที่ถูกต้อง) -
Formula:
Description: ใช้ฟังก์ชัน INDIRECT เพื่อประเมินว่าข้อความ 'A1' เป็นการอ้างอิงที่ถูกต้องหรือไม่=ISREF(INDIRECT("A1"))
Result:TRUE (เนื่องจาก INDIRECT("A1") คืนค่าเป็นการอ้างอิงที่ถูกต้อง) -
Formula:
Description: ใช้ฟังก์ชัน OFFSET เพื่อตรวจสอบช่วงที่ถูก dynamic กำหนดโดยเริ่มจาก A1=ISREF(OFFSET(A1,0,0,5,1))
Result:TRUE (เนื่องจาก OFFSET คืนค่าเป็นช่วงที่ถูกต้องที่อ้างอิงจาก A1)
Tips & Tricks
สามารถใช้ ISREF ร่วมกับฟังก์ชันอื่นเช่น IF และ VLOOKUP เพื่อวิเคราะห์ผลลัพธ์เพิ่มเติม เช่น IF(ISREF(B2), VLOOKUP(B2, A1:C10, 2, FALSE), “Invalid Reference”) เพื่อทดสอบว่า B2 เป็นการอ้างอิงที่ถูกต้องก่อนทำ VLOOKUP
ข้อควรระวัง (Cautions)
ฟังก์ชัน ISREF จะตรวจว่ายังเป็นการอ้างอิงหรือไม่เท่านั้น ไม่สามารถตรวจว่าฟังก์ชันหรือสูตรนั้นถูกต้องหรือไม่ ต้องระวังเวลาใช้กับ range ที่ไม่ได้ถูกกำหนดให้เป็นการอ้างอิงที่ถูกต้อง
ฟังก์ชันที่เกี่ยวข้อง
References
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ ❤️
Leave a Reply