TLDR สรุปสั้นๆ
LCM หาค่าตัวคูณร่วมที่น้อยที่สุดจากตัวเลขจำนวนเต็ม ใช้งานสะดวกใน Excel 2003 และเวอร์ชันใหม่ๆ
คำอธิบาย
LCM (Least Common Multiple) เป็นฟังก์ชันที่ใช้หาตัวคูณร่วมที่น้อยที่สุดของตัวเลขจำนวนเต็ม คือตัวเลขที่น้อยที่สุดที่สามารถหารได้ทุกตัวจากกลุ่มตัวเลขที่กำหนด ซึ่งสามารถใช้ในการบวกเศษส่วนที่มีตัวส่วนไม่เท่ากันได้ด้วย
มีครั้งแรกในเวอร์ชันไหน
Excel 2003 หรือเวอร์ชันก่อนหน้า
รูปแบบคำสั่ง (Syntax)
LCM(number1, [number2], ...)
Arguments
-
number1 (Required – integer)
เลขจำนวนเต็มตัวแรกที่ต้องการหาตัวคูณร่วมที่น้อยที่สุดและจำเป็นต้องมี. -
[number2] (Optional – integer)
เลขจำนวนเต็มเพิ่มเติมที่สามารถใส่ได้สูงสุดถึง 255 จำนวนเพื่อต้องการหาตัวคูณร่วมที่น้อยที่สุด ไม่จำเป็นต้องมี.
ตัวอย่างการใช้งาน (Examples)
-
Formula:
Description: หาตัวคูณร่วมที่น้อยที่สุดของ 5 และ 2=LCM(5, 2)
Result:10 (เพราะ 10 เป็นตัวคูณตัวแรกที่ 5 และ 2 หารได้ลงตัว) -
Formula:
Description: หาตัวคูณร่วมที่น้อยที่สุดของ 24 และ 36=LCM(24, 36)
Result:72 (เพราะ 72 เป็นตัวคูณตัวแรกที่ 24 และ 36 หารได้ลงตัว) -
Formula:
Description: หาตัวคูณร่วมที่น้อยที่สุดของ 7, 1 และ 3=LCM(7, 1, 3)
Result:21 (7 คูณ 3 ได้ 21 ซึ่งสามารถหารด้วย 1 ได้ลงตัวด้วย) -
Formula:
Description: หาตัวคูณร่วมที่น้อยที่สุดของ 10, 15 และ 35=LCM(10, 15, 35)
Result:210 (210 เป็นตัวเลขที่ 10, 15 และ 35 หารได้ลงตัวทั้งหมด) -
Formula:
Description: การใช้ LCM แบบผสม ระหว่างกลุ่มตัวเลขสองชุด=LCM(1, 2, 3, 4, 5) + LCM(6, 7, 8, 9, 10)
Result:2520 (การบวกผลลัพธ์ของ LCM กลุ่มแรกคือ 60 กับกลุ่มที่สองคือ 252 จะได้ 2520)
Tips & Tricks
ฟังก์ชัน LCM ใช้ได้ดีกับการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์เกี่ยวกับการรวมเศษส่วนที่มีตัวส่วนต่างกัน ทำให้การคำนวณสะดวกขึ้น
ข้อควรระวัง (Cautions)
ระวังปัญหาที่อาจเกิดจากการมีค่าที่ไม่ใช่จำนวนเต็มใน arguments ซึ่งจะคืนค่าเป็น #VALUE! error และถ้ามีค่าใดน้อยกว่า 0 ก็จะคืนค่าเป็น #NUM! error เช่นกัน นอกจากนี้ ถ้าผลลัพธ์มากกว่า 2^53 จะเกิด #NUM! error ด้วย
ฟังก์ชันที่เกี่ยวข้อง
References
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ ❤️
Leave a Reply