บอกตามตรงว่าหนึ่งในสิ่งที่ผมชอบที่สุดในเกม Baldur’s Gate 3 คือการที่ Level Up แล้วเราสามารถเปลี่ยนอาชีพโดยการเพิ่ม Subclass ได้ รวมถึงการยอมให้เราสามารถ Respec Class ตัวละครได้ทุกตัว เพื่อเปลี่ยน Ability รวมถึงอาชีพและการอัป Skill ใหม่ตั้งแต่ต้น
ดังนั้น ในบทความนี้เราจะลองมาสำรวจกันว่า ถ้าเราจะ Respec เพื่อสร้าง Build ตัวละครใหม่ มีแนวทางไหนน่าสนใจ และถ้าเราต้องการ Optimize ค่าบางอย่างในการ Level Up จนเต็ม Level 12 มีแนวทางคำนวณยังไงใน Excel
ซึ่งขอออกตัวก่อนว่า การ Build ตัวละครใน BG3 นั้น ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าดีที่สุด เพราะมันขึ้นกับความชอบส่วนตัวของเราเองด้วย ดังนั้นอ่านบทความนี้แล้ว ถ้าใครเห็นต่างจากแนวทางที่ผมบอก ก็สามารถ Comment แชร์ไอเดียกันได้เต็มที่นะครับ ^^
สารบัญ
วิธีการ Respec Class ตัวละคร
เพียงแค่จ่ายตัง 100 ให้กับ Withers (ลุงกระดูก) ที่อยู่ใน Camp ของเรา ซึ่งเค้าจะโผล่มาหลังผ่านเควส Explore the Ruins (Dank Crypt) ในช่วงแรกๆ
ซึ่งเราจะ Respec ตัวละครเราได้เสมอ เมื่อไหร่ก็ได้ ตัวไหนก็ได้ (ทุกตัว Level พอๆ กัน แม้ไม่ได้เอามาสู้)



Tips
เราสามารถขโมยตังจาก Wither คืนเมื่อไหร่ก็ได้ (มันไม่โกรธ ไม่สนใจด้วยซ้ำ) ดังนั้นมันคือตู้ ATM เคลื่อนที่ชัดๆ 555 (ตอนที่ผมเพิ่งรู้ว่าขโมยคืนได้นี่ได้คืนที 3000 เลย สะสมมานานจัด 555)
แปลว่า เราสามารถทดสอบสิ่งใหม่ๆ ได้ตลอดเวลา ขอแค่มี Level กับ Item ถึงจุดที่ต้องการ แต่ที่เปลี่ยนไม่ได้ก็มีนะ เช่น เผ่าพันธุ์ของตัวละคร เรื่องของการอัปพลังหนอน เป็นต้น
เรื่องของ Level Up
เรื่องสำคัญที่ควรรู้คือ
- Level สูงสุดของตัวละครแต่ละตัว คือ Level 12 เท่านั้น
- ในแต่ละการ Level Up เราจะเปลี่ยน Class (อาชีพ) เป็นอะไรก็ได้เลย ต่างกันในแต่ละ Level ได้ (เรียกว่า Multi-Class) ไม่ได้มีเกณฑ์ Attribute ขั้นต่ำของแต่ละอาชีพ (แต่จะเหมาะป่าวอีกเรื่อง)
- สมมติเป็น Monk 6 Level + Rogue 3 Level + Fighter 3 Level แบบนี้ได้ เพราะรวมกันไม่เกิน 12 เป็นต้น (ตอนอัปสลับลำดับไปมาได้)
- หรือจะบ้าบอทั้ง 12 Level เป็นคนละ Class กันหมดเลยก็ได้ (มี 12 Class พอดี)

- แต่ละ Class จะมี Proficiency ที่ต่างกันไป เช่น ใส่เกราะ หรืออาวุธที่ถนัดต่างกัน
- แต่ละ Class เมื่อถึงจุดหนึ่งจะเลือก Subclass (อาชีพย่อย) ได้อีก ซึ่งจะมี Skill แตกต่างกัน และมีความสามารถเฉพาะทาง นั่นคือแตกแขนงความเป็นไปได้ออกไปอีก


เป้าหมายในบทความนี้
เวลาเราจะ Optimize อะไรก็ตาม เราจะต้องมีเป้าหมายที่อยากได้ ซึ่งในบทความนี้ สมมติว่าการ Build ตัวละครผมมีเป้าหมายหลักๆ ที่จะได้ 4 เรื่อง คือ
- Feat
- Extra Attack
- Action Surge
- Bonus Attack
Feat
แต่ละ Class เมื่อ Level Up ถึงจุดหนึ่ง จะสามารถเลือก Feat ได้ (ขึ้นกับ Class Level ไม่ใช่ Character Level) เพื่อกำหนดแนวทางพัฒนาความสามารถของตัวละครได้หลายแบบ (ทุก Class มี Feat. ให้เลือกแบบเดียวกัน)

โดยที่แต่ละ Class จะมีจุดที่เลือก Feat. ได้หลายรอบ
- ทุก Class สามารถเลือก Feats ได้ตอน Level 4, 8 และ 12



- Fighter : ได้เลือกเพิ่มที่ Level 6
- Rogue : ได้เลือกเพิ่มที่ Level 10


ดังนั้นสรุปได้ดังนี้

การที่เกมออกแบบมาแบบนี้ แปลว่า ถ้าเราอยากได้ Feat 4 รอบ มีอยู่ 2 แนวทาง (ซึ่งอันนี้ไม่ต้อง Optimize ใน Excel ก็พอคิดได้ ถ้าเราเห็นภาพแบบนี้) คือ
- ต้องเป็น Fighter หรือ Rogue ล้วนทั้ง 12 Level
- เป็น Fighter 8 Level แล้ว Multiclass เป็นอาชีพอื่นอีก 4 Level
อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกปัจจัยที่สำคัญมาก ก็คือ หลายๆ Class จะมีความสามารถพิเศษที่ดีมากๆ ในบาง Level ทำให้การตัดสินใจ Multiclass ยากขึ้นไปอีก!!
ตัวอย่างความสามารถพิเศษที่ส่งผลมากๆ เลยอันหนึ่งคือเรื่องของ Extra Attack รวมถึงพวก Bonus Action เพิ่มเติม
เพิ่ม Extra Attack
คือความสามารถที่ถ้าเราใช้ Action ทำการ Attack ศัตรูแล้ว เราจะใช้ Extra Attack เพื่อโจมตีเพิ่มเติมได้! ซึ่งดีมากๆ
ซึ่ง Extra Attack นั้นสามารถได้มาจากหลากหลายวิธีการ เช่น
- Barbarian : level 5
- Bard (College of Valour หรือ College of Swords) : level 6
- Fighter : level 5 (Extra 1 รอบ) และ level 11 (Extra 2 รอบ)
- Monk : level 5
- Paladin : level 5
- Ranger : level 5
- Warlock (Pact of the Blade) : level 5 *
*หมายเหตุ : ปกติแล้ว Extra Attack จะมีผลแค่จากอาชีพเดียวเท่านั้น (ไม่ Stack กัน) ยกเว้น Deepened Pact ของ Warlock (Pact of the Blade) ที่ดัน Stack กับ Extra Attack ของ Class อื่นได้ (ยกเว้นความยากระดับสูงสุดคือ Honour mode จะไม่ Stack)

ที่บอกว่า Extra Attack ของ Warlock มัน Stack กับ Extra Attack ของ Class อื่นได้คือ ต้องทำการ Pack Weapon ใน Main Hand ก่อนนะ นั่นคือมันน่าจะ Stack กับ Unarmed Strike (มือเปล่า) ของ Monk ไม่ได้ [ใครทำได้บอกด้วย]
ส่วนการตี Extra Attack จะตีด้วยอะไรก็ได้ เข่น ใช้ธนู (ที่ไม่ได้ Pact) ยังได้เลย

เพิ่ม Action ด้วย Action Surge
นอกจาก Extra Attack แล้ว เรายังมีวิธีเพิ่ม Action ได้อีกรอบ ด้วย Action Surge ได้ ด้วยการเป็น Fighter Level 2 นะครับ (แต่ใช้ได้แค่ 1 ครั้งต่อ Short Rest เท่านั้น)

เพิ่ม Bonus Action
นอกจาก Extra Attack กับ Action Surge แล้ว ยังมีอีกความสามารถหนึ่งที่เจ๋งมาก ก็คือ Fast Hand ซึ่งเป็นความสามารถของ Thief (ที่เป็น Subclass ของ Rogue) ซึ่งเลือกได้ตอน Level 3 ซึ่งถ้าเป็น Thief แล้ว เราจะมี Bonus Action 2 อันไปเลย

ได้ Bonus Action 2 อันเลย แบบนี้

ดังนั้นถ้าสรุปเป็นตารางให้เห็นภาพ ตอนนี้จะเป็นแบบนี้

พอเห็นแบบนี้แล้ว จะพบว่านี่คือสาเหตุสำคัญที่ Fighter กับ Rogue นั้นเป็นหนึ่งใน Class ยอดนิยมในการ Multiclass สำหรับการต่อสู้สายกายภาพ เลย เพราะมันให้ของดีมากๆ ตลอดทาง
แนวทางการ Optimize ใน Excel
ผมลองผู้สูตรแล้วใช้ Solver เพื่อเลือกว่าจะ Up Class อะไรดี เพื่อให้ได้หลายๆ อย่างตามที่ต้องการ
ซึ่งสูตรที่เขียนไม่ใช่ Linear จึงใช้ Simplex LP ไม่ได้ ก็เลยต้องใช้ Solver แบบ GRG Non-Linear ซึ่งจะทำงานช้ากว่า และ จะอาจจะไม่ได้จุด Global Optimize ที่แท้จริง
ดังนั้นผมจะทำการ Group อาชีพที่มีลักษณะการ Attack คล้ายๆ กันเข้าด้วยกัน จะได้คำนวณเร็วขึ้น ได้แบบนี้



ผลการแนะนำหลายแบบจาก Solver
แล้วผมมีการกำหนด Weight ให้แต่ละเรื่อง สุดท้ายลอง Optimize หลายๆ แบบได้ดังนี้
เน้นที่ภาพรวม
Weight เป้าหมาย
Feats : 35%, Action Surge : 15%, Extra Attack : 30%, Bonus Attack : 20%
สิ่งแรกที่มัน Optimize ตาม Criteria ที่ผมตั้งไว้เลย คือ
การเป็น Fight12 ทั้ง 12 Level = เป็นแนวทางที่ดีมากอยู่แล้ว

zoom ชัดๆ

เน้นที่ จำนวน Attack+Extra+Bonus
Weight เป้าหมาย
Feats : 10%, Action Surge : 10%, Extra Attack : 45%, Bonus Attack : 35%

Fighter 6 + Rogue 6 ก็ได้ Action เยอะสะใจ แถม Feats ก็เยอะ
ถ้ามีความต้องการเจาะจง
สมมติว่าเรามีความต้องการเจาะจงบางอย่าง เราก็ระบุลงไปได้ เช่น
อยากให้ Warlock ขั้นต่ำต้องถึง Level 3 ก็ระบุได้เลย
Weight เป้าหมาย
Feats : 25%, Action Surge : 15%, Extra Attack : 40%, Bonus Attack : 20%
ผลที่ได้บอกว่า Fighter 6 + Warlock 6 ก็จะได้ Feats เยอะด้วย Extra เยอะด้วย

สมมติกำหนดว่าจะเป็น Monk + Rogue แบบนี้ก็ให้มันช่วยคิดได้ ว่าจะกี่ Level ดี
Feats : 30%, Action Surge : 10%, Extra Attack : 40%, Bonus Attack : 20%
มันแนะนำว่า Monk 8 + Rogue 4 ได้ Feats เยอะดี

เปลี่ยน Objective เป็น Damage/Turn
ถ้าเราเปลี่ยนวิธีคิด Objective ไปเลย ไปใช้การประมาณการ Damage/Turn แทน ก็เป็นแนวทางที่น่าสนใจครับ ซึ่งมีการ Assume Base Damage พื้นฐานเอาไว้ และมีการคิด Factor ตัวคูณสำหรับแต่ละปัจจัย
เช่น Feat 1 อันจะทำให้ Damage แรงขึ้น 10% (สมมติ) ถ้า 4 อันก็ base *(1+factor)^4 เป็นต้น
อันนี้โปรแกรมแนะนำเป็น Fighter 12 (มันเก่งแบบง่ายจริงๆ)

ซึ่งแบบนี้จะ มี 4 Feats (แต่ละ feat ช่วยให้ Damage พื้นฐานแรงขึ้น) และยังได้ Extra Attack ตีได้หลายที 2 รอบ จากนั้นมี Action Surge ที่ทำให้ทั้ง Attack และ Extra Attack ได้อีกที ซึ่งถ้าทำตามนี้ก็จะมี Bonus Attack ตามปกติแค่นั้นรอบเดียว
แต่ถ้าอยากให้มี Multiclass มีการ Cap ไว้ไม่ให้ใช้ Class Level 12
อันนี้แนะนำเป็น Fighter 6 + Warlock 6 (มีการ Cap ไว้ไม่ให้ใช้ Fighter 12)

ซึ่งแบบนี้จะ มี 3 Feats และยังได้ Extra Attack จากนั้นมี Action Surge และยังคงมี Bonus Attack รอบเดียวเช่นกัน
แต่ถ้าลองคิด Build ที่ Action Surge หมด (ไม่มีผล) ดูสิว่ามันจะแนะนำอะไร?
อันนี้แนะนำเป็น Warlock 5 + Barbarian,Monk,Paladin,Ranger 7
(หรือจะสลับกันเป็น Warlock 7 ก็ได้)

แต่การ Optimize อาจไม่ Make Sense ก็ได้
โปรแกรมพยายาม Optimize ตามปัจจัยที่ผมเขียนเท่านั้น เช่น Attack, Extra, Bonus, Feats แต่ยังมีอีกหลายปัจจัย ที่จริงๆ แล้วมีผลมากในเกม เช่น
- Ability Score แต่ละอาชีพเข้ากันหรือไม่?
- บางทีการอยู่ใน Class อันใดอันหนึ่งเยอะๆ จะยิ่งได้ Damage แรงกว่า เช่น Rogue จะได้ Sneak Attack ที่แรงขึ้นเรื่อยๆ หรือ Warlock จะได้ Eldritch Blast ที่ยิงได้หลายเส้นมากขึ้น (ที่ Level 5 กับ 10) เป็นต้น ตรงนี้ก็ยังไม่ได้เอามาคิด
- Proficiency ใน equipment item ต่างๆ ได้อย่างที่ต้องการมั๊ย?
- Skill หรือ Spell มัน combo กัน หรือเสริมกับเพื่อนในทีมได้รึเปล่า? (ในบทความนี้ผมไม่ได้พูดเรื่อง Spell เลยแม้แต่น้อย)
- เรามี Item ใส่ตัวละครที่เหมาะกับ Class นั้นหรือไม่?
- อีกเยอะแยะไปหมดดดด
ถ้าผมอยากจะได้การ Build ตัวละคร ที่ Optimize สุดๆ ผมต้องใส่ปัจจัยพวกนี้มาในสูตรให้หมด ซึ่งก็จะซับซ้อนขึ้นไปอีกมากกกๆๆๆๆๆๆ ซึ่งอาจไม่ Practical แล้ว (ถ้าผมใส่หมดทุกปัจจัย ผมคงไปช่วยเค้าทำเกมดีกว่า 555)
สรุป
การจะ Optimize อะไรได้ เราต้องมีความรู้เรื่องนั้นเป็นอย่างดีก่อน จึงจะกำหนดเงื่อนไขได้ถูกต้องและครบถ้วย ยิ่งเงื่อนไขซับซ้อนยิ่งเขียนยาก และอาจจะใช้เวลา Optimize นาน
ถ้าเราลดทอนความซับซ้อนได้ โดยผลลัพธ์ไม่เพี้ยนจากเดิมมาก ก็จะให้ผลดีมากในชีวิตจริง
อย่างไรก็ตาม สำหรับเกม BG3 นั้น เงื่อนไขมันซับซ้อนมากๆ (อาจมากกว่าเรื่องการทำในงานจริงๆ ก็ได้ 555) ดังนั้นการ Optimize ใน Excel นี้เราสามารถใช้เป็นแนวทางเบื้องต้น หรือใช้เป็นตัวทดลองเปลี่ยนค่าเล่นดูได้ ก่อนจะไปกด Respec ใหม่จริงๆ กับ Wither อีกทีก็ได้ครับ
ว่าแล้วผมขอตัวไป Respec ตัวละครเล่นก่อนล่ะครับ บายๆ ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ ^^
ใครยังไม่ได้อ่าน 2 ตอนแรก ลองไปอ่านดูได้นะครับ
Leave a Reply