TLDR สรุปสั้นๆ
BITAND ใช้หาผลบิตไวส์ AND ของสองตัวเลข หมายถึงดูว่ามีการเปิดบิต (1) ที่ตำแหน่งเดียวกันหรือไม่ ผลลัพธ์คือเลขฐานสิบ
คำอธิบาย
ฟังก์ชัน BITAND ใช้ในการคำนวนผลบิตไวส์ (bitwise) ของการ ‘AND’ ระหว่างสองตัวเลขแบบเต็ม (integers) หาผลลัพธ์ในรูปของเลขฐานสิบ ใน Excel เทียบค่าบิตของเลขทั้งสอง โดยถ้าบิตตำแหน่งใดตรงกันเป็น 1 ในทั้งสองตัวเลข ค่าของบิตในตำแหน่งนั้นจะมีผลและถูกรวมในผลลัพธ์
มีครั้งแรกในเวอร์ชันไหน
2013
รูปแบบคำสั่ง (Syntax)
BITAND(number1, number2)
Arguments
-
number1 (Required – number)
จำเป็นต้องมี เป็นตัวเลขในรูปแบบฐานสิบ (จริงๆแล้วเป็นช่องสี่เหลี่ยมตำแหน่งที่เราต้องการใช้) ต้องมีค่าเท่ากับหรือมากกว่า 0 -
number2 (Required – number)
จำเป็นต้องมี เป็นตัวเลขในรูปแบบฐานสิบ ต้องมีค่าเท่ากับหรือมากกว่า 0
ตัวอย่างการใช้งาน (Examples)
-
Formula:
Description: เปรียบเทียบการแสดงเลขฐานสองของ 1 และ 5=BITAND(1, 5)
Result:1 (ตรงตำแหน่งบิตขวาสุดเท่านั้นที่ตรง คือ ตำแหน่ง 2^0) -
Formula:
Description: เปรียบเทียบการแสดงเลขฐานสองของ 13 และ 25=BITAND(13, 25)
Result:9 (ตรงตำแหน่งบิตขวาสุด และบิตที่สี่จากขวา คือ 2^0 + 2^3) -
Formula:
Description: เปรียบเทียบการแสดงเลขฐานสองของ 0 และ 15=BITAND(0, 15)
Result:0 (ไม่มีบิตที่ตรงกันเป็น 1 เลย) -
Formula:
Description: ประยุกต์ใช้ BITAND เพื่อทดสอบว่าตัวเลขเป็นเลขคี่หรือไม่=BITAND(255, 1)
Result:1 (ผลลัพธ์เป็น 1 แสดงว่าค่า 255 เป็นเลขคี่) -
Formula:
Description: ใช้ BITAND ร่วมกับ IF เพื่อระบุว่า A1 เป็นเลขคี่หรือคู่=IF(BITAND(A1, 1), "Odd", "Even")
Result:"Odd" เมื่อ A1 เป็นเลขคี่และ "Even" เมื่อ A1 เป็นเลขคู่ (ใช้การตรวจสอบตำแหน่งบิตขวาสุด)
Tips & Tricks
ใช้ BITAND ร่วมกับ IF เพื่อทดสอบว่าเลขที่ให้เป็นเลขคี่หรือเลขคู่ได้อย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น =IF(BITAND(A1, 1), “Odd”, “Even”) เพื่อแสดงผลว่าเป็นเลขคี่หรือเลขคู่
ข้อควรระวัง (Cautions)
BITAND ต้องการ input ที่เป็นตัวเลขเต็ม หรือ integers เท่านั้น และต้องไม่ต่ำกว่า 0 หรือเกินกว่า (2^48)-1 ไม่อย่างนั้นจะเกิด #NUM! error และถ้า input ไม่ใช่ตัวเลขเลยจะเกิด #VALUE! error
ฟังก์ชันที่เกี่ยวข้อง
References
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ ❤️
Leave a Reply