excel vs power bi

มหากาพย์เปรียบเทียบ Excel vs Power BI + แนะนำ Power Query, DAX, Data Model

สมมติว่าให้ทุกคนลองจินตนาการว่าโลกแห่งการทำงานด้วย Excel เป็นเกมแนวผจญภัยสู้ Monster ที่เราสู้และเก่งขึ้นเรื่อยๆ ( เช่น เกมแนว RPG, MOBA) ปัญหาต่างๆ ที่เราต้องเจอก็เป็นเหมือน Monster ที่เราต้องกำจัด ต้องฝ่าฟัน เพื่อจะเก็บประสบการณ์จน Level Up ได้มีความสามารถที่เก่งขึ้นจนปราบปัญหาใหญ่ระดับ Boss ได้ ซึ่งนี่ก็เป็น Concept ที่ผมเคยพูดถึงไว้ในหนังสือ Excel Level Up นั่นเอง

เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี ตอนนี้เกมที่พวกเราเล่นได้ถูกอัปเดท Patch ใหม่แล้ว พวก Monster ที่เราต้องเจอมันโหดร้ายขึ้นมาก ตัวใหญ่ขึ้น ซับซ้อนขึ้น… มี Monster ระดับที่เรียกว่า Big Data เริ่มโผล่มาอาละวาดแล้ว (ไม่ว่าคุณจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม)

เพื่อให้สู้กับ Monster ที่แข็งแกร่งขึ้นได้ ตัวละคร Excel จึงได้รับการบัฟความสามารถเพิ่มขึ้นมากมาย แถมยังให้อาวุธใหม่อย่าง Power Query/DAX/Data Model และให้เราสามารถเลือกใช้ Hero หรือตัวละครใหม่อย่าง Power BI ได้ด้วย

ปัญหาก็คือ หลายคนไม่รู้ว่า Hero เก่าอย่าง Excel ถนัดอะไร? Hero ใหม่อย่าง Power BI ทำอะไรได้บ้าง? และอาวุธอย่าง Power Query/DAX/Data Model คืออะไร? ซึ่งน่าเสียดายมากๆ (เอาจริงๆ แค่ Excel เดิมทำอะไรได้บ้าง ยังรู้ไม่หมดเลย ยังจะมีของใหม่อีกเนอะ เหอๆ)

โดยที่บทความนี้ผมจะตอบคำถามข้างต้น โดยไม่ลงรายละเอียดเชิงเทคนิค (แต่มี link ให้ ถ้าอยากรู้รายละเอียด แบบเยอะสุดๆ ) แต่จะเล่าให้ฟังแบบเพื่อนแนะนำเพื่อนแล้วกันนะครับ

เพื่อไม่ให้เสียเวลามาเริ่มกันเลย!

ความสามารถเด่นๆ ของ Excel

ส่วนตัวของผมแล้ว ผมคิดว่าสิ่งที่ Excel เด่นมากๆ ก็คือการทำงานใน Excel ถือว่ามีอิสระสูงมากแต่ใช้งานง่าย คนใช้งานสามารถออกแบบ Spreadsheet ได้ดั่งใจ จะออกแบบให้ช่องไหนจะเป็น input ก็ได้ ช่องไหนจะเขียนสูตรเพื่อให้แสดงเป็น Output ก็ได้ ตกแต่งหน้าตาให้สวยงามแค่ไหนยังไงก็ได้

คนใช้ Excel เก่งๆ สามารถสร้า่งผลงานที่หลากหลาย ใช้ทำรายงาน Dashboard แสดงผลลัพธ์เป็นตาราง หรือจะสร้างเป็นกราฟก็ย่อมได้ หรือจะสร้างแบบฟอร์ม สร้างรายงานให้พิมพ์ออกมาก็ได้ อีกทั้งยังสร้าง Model การเงินต่างๆ, ทำ Simulation, ทำ Optimization ได้แบบสบา่ยๆ

การทำงานใน Excel บางเรื่องก็ง่าย บางเรื่องก็ยาก หลายเรื่องก็เป็นเรื่องที่ง่ายมาก และเจ๋งมาก แต่หลายคนไม่รู้ เช่น

  • ฟังก์ชัน TRIM : ตัดช่องว่างหน้าคำและหลังคำ ทั้งหมดออก และเว้นวรรคตรงกลางจะทำให้เหลือ 1 เคาะ เป็นมาตรฐานเดียวกัน
  • Flash Fill : สามารถเลียนแบบตัวอย่างที่เราพิมพ์ลงไปได้เลยอย่างน่าอัศจรรย์
  • ค่าที่แท้จริงของวันที่และเวลา : จริงๆ แล้ววันที่คือจำนวนเต็ม เวลาคือทศนิยม และการกรอกขึ้นกับการตั้งค่า Region
  • Table : สามารถงอกตัวเองเพื่อรองรับข้อมูลใหม่ๆ ที่กรอกได้ทันที และใส่สูตรให้เองทุกบรรทัด
  • Conditional Format : ระบายสีแบบอัตโนมัติตามเงื่อนไข
  • Dynamic Textbox/ชื่อกราฟ : เลือก Textbox/ชื่อกราฟ แล้วไปช่องใส่สูตร ใส่ = แล้วจิ้ม Cell ที่ต้องการแล้วกด Enter
  • เปลี่ยน Format แบบ Custom : เราเปลี่ยนหน้าตาตัวเลขได้อย่างอิสระ และทำเป็น Text จริงๆ ได้ด้วย ซึ่งมีประโยชน์เยอะมาก
  • Goal Seek / Solver : ช่วยลอง Trial & Error จนกว่าเราจะได้ผลลัพธ์ตามต้องการ

สำหรับผม Pivot Table คือสุดยอด

นอกจากเรื่องข้างบนแล้ว เครื่องมือเด็ดที่สุดอีกอันของ Excel คงหนีไม่พ้น Pivot Table ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยสรุปข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลได้ง่ายที่สุดอันนึงในโลกนี้เลย

จากข้อมูลดิบที่ดูไม่รู้เรื่อง ใช้เวลาไม่ถึง 1 นาที ก็สามารถถูกเนรมิตให้กลายเป็นตารางสรุป พร้อมกับกราฟ และปุ่ม Slicer ที่สามารถควบคุม Pivot Table หลายๆตารางได้พร้อมกัน เพื่อสร้าง Interactive Dashboard ได้อย่างง่ายดาย

ถ้าเทียบกับวิธีอื่น เช่น การเขียนสูตรให้ได้ผลแบบในวีดีโอข้างบน การเขียนสูตรจะทำได้ลำบากและช้ากว่า Pivot Table มากๆ

ปัญหาของ Pivot Table แบบดั้งเดิม

อย่างไรก็ตาม ปัญหาของคนทำ Excel ยุคก่อน ก็หนีไม่พ้นการเตรียมข้อมูลให้พร้อมสำหรับการทำ Pivot Table นี่แหละ เพราะในบางครั้งข้อมูลอยู่กระจัดกระจายกันหลายที่ (เช่น ข้อมูลแยกกันเดือนละไฟล์ เป็นสิบๆไฟล์) รวมถึงอาจอยู่ในรูปแบบที่ไม่เหมาะสม (เช่น มีหัวตารางหลายชั้นที่ Merge กันไว้ มีหัวตารางเรื่องเดียวกันหลายคอลัมน์ หรือได้ข้อมูลเชิงรายงานมาจากโปรแกรมบัญชี แทนที่จะเป็นข้อมูลเชิง database) ทำให้พอเอาเข้าจริง เจ้า Pivot ที่ว่าเจ๋งกลับไม่ได้ออกโรงเลย เพราะข้อมูลเน่าเกินไป ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ Pivot จะทำอะไรได้

นอกจากนี้ ปัญหาของ Pivot Table แบบดั้งเดิมก็คือ มันสรุปข้อมูลได้แบบ Basic เกินไป เช่น ทำได้แค่ Sum, Count, Average, Max, Min หรือว่าทำได้อย่างมากก็คือสร้าง Calculated Field ขึ้นมาซึ่งก็เขียนสูตรได้จากพื้นฐานการ Sum แต่ละ Field เท่านั้น มันจึงไม่สามารถตอบโจทย์สถานการณืที่ซับซ้อนกว่านั้นได้ เช่น การนับข้อมูลแบบไม่ซ้ำกัน เป็นต้น

รวมถึงปัญหาใหญ่อีกอันนึงคือ Pivot Table แบบดั้งเดิมนั้น สามาราถสรุปข้อมูลได้จากตารางเดียวเท่านั้น ทำให้หลายคนต้องมาคอย VLOOKUP เอาข้อมูลจากตารรางอ้างอิงอื่นๆ มารวมกันซะก่อน ซึ่งอาจจะช้าและเสียเวลา

นอกจากนี้ กรณีเรามีข้อมูลหลักหลายตารางแยกกันอยู่ เช่น อาจมีข้อมูลการขายของ กับการซื้อของ หรืออาจมีตาราง Target การขายอีกตาราง แบบนี้จะเอามารวมกันคงเป็นไปไม่ได้ ทำให้ไม่สามารถแสดงผลใน Pivot เดียวกันได้อีก (ในสมัยก่อน หลายคนเลย Pivot แยกตารางใครตารางมัน แล้ว Copy มาวางข้างกัน ซึ่งรันทดมาก)

ด้วยเหตุนี้ Excel จึงได้รับอาวุธใหม่ ที่จะช่วยแก้ปัญหาเดิมๆ ของ Pivot ได้หายเป็นปลิดทิ้ง

ทำความรู้จักอาวุธใหม่

Power Query

ถ้าปัญหาคือการจัดเตรียมข้อมูล เช่น ข้อมูลอยู่ในสภาพไม่ ok หรือข้อมูลอยู่กระจายหลายไฟล์จนไม่สามารถ Pivot ได้ ทางแก้คือ อาวุธใหม่ที่ชื่อว่า Power Query นั่นเอง

Power Query ตอนที่ 2 : มหากาพย์การใช้งาน Power Query ตั้งแต่ต้นจนจบ 70

Power Query คือเครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อรวบรวมและดัดแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่ต้องการ โดยสามารถสั่งงานได้ง่าย ผ่านเครื่องมือมาตรฐานโดยแทบไม่ต้องเขียนสูตรอะไรเลย เพราะโปรแกรมจะแปลงสิ่งที่เรากดสั่งผ่านเครื่องมือที่เตรียมไว้ให้กลายเป็นสูตรที่เรียกว่า M Code ให้เอง (แต่ก็มีกรณีที่ข้อมูลเน่าหรือซับซ้อนมากจนต้องเขียน M Code เพื่อแก้ไข)

วิธีดึงข้อมูลจาก Excel ไฟล์ย่อยมาทำรายงานสรุปใน Excel หลัก (อีกไฟล์) /Power BI 14

ตัวอย่างที่มีประโยชน์มากๆ อันนึงที่น่าจะเป้นประโยชน์กับคนส่วนใหญ่ คือ การรวมข้อมูล Excel หลายๆ ไฟล์ใน Folder เข้าด้วยกัน

เครื่องมือมาตรฐานใน Power Query นั้นทำได้ทุกอย่างที่งานเตรียมข้อมูลทั่วๆ ไปต้องทำ เช่น ถมช่องว่างจากข้อมูลด้านบน เปลี่ยนค่านึงเป็นอีกค่านึง กำจัดตัวซ้ำ เอาข้อมูลหลายตารางมารวมกัน (ทั้งเพิ่มแถว หรือ เพิ่มคอลัมน์) พลิกหน้าตาตารางให้ข้อมูลที่กระจายอยู่หลายๆ คอลัมน์มารวมเป็นคอลัมน์เดียว (เรียกว่า Unpivot) ซึ่งหากจะทำงานพวกนี้ด้วยสูตรนั้นเป็นเรื่องที่ยากมากๆ

การใช้ Power Query จัดการข้อมูลที่มีหัวตาราง 2 ชั้น 1

ที่สำคัญคือ เราเหนื่อยในการกำหนดวิธีดัดแปลงข้อมูลแค่ครั้งเดียว ถ้าต้องการทำซ้ำอีกแค่กด Refresh ตัว Power Query จะทำงานซ้ำอีกรอบอย่างง่ายดาย

Data Model/DAX

เมื่อปัญหาในการจัดเตรียมข้อมูลถูกแก้ไปได้ด้วยเครื่องมือ Power Query แล้ว ปัญหาต่อไปก็คือ การคำนวณที่ซับซ้อนขึ้นกว่าที Pivot เดิมจะทำได้ ซึ่งอาวุธใหม่ที่จะมาจัดการเรื่องนี้ก็คือ Data Model/DAX นั่นเอง

การใช้ Excel Power Pivot ตอนที่ 5 : การทำรายงาน Actual vs Target 12

Data Model คือการผูกความสัมพันธ์ระหว่างตารางข้อมูลหลายๆ อันเข้าด้วยกัน ประโยชน์ในเบื้องต้นคือ สามารถช่วยให้สามารถสรุปข้อมูลจากตารางหลัก (เช่น ยอดขาย) ตามการแบ่งประเภทของตารางอ้างอิงได้ (เช่น กลุ่มสินค้า) โดยไม่ต้องใช้ VLOOKUP มารวมกันในตารางเดียวอีกต่อไป แต่ผลประโยชน์ที่ชัดเจนกว่าคือการสรุปข้อมูลจากตารางหลักหลายๆ ตัวได้เช่น ตารางการขาย ตารางการซื้อ ตาราง Target เป็นต้น

การจะทำให้ Pivot Table สามารถทำแบบที่ผมบอกข้างต้นได้ ต้องสร้าง Pivot Table จาก Data Model ด้วย (ซึ่งตอนสร้าง Pivot จะมี Option ด้านล่างให้ติ๊ก) ซึ่งพอทำแบบนั้นจะช่วยให้ Pivot Table มีความสามารถอีกอย่างนึงเพิ่มขึ้นมาด้วยนั่นก็คือ การใช้สิ่งที่เรียกว่า Measure นั่นเอง

Measure คือวิธีการคำนวณที่เราสามารถสร้างขึ้นมาได้เอง (มาแทน Calculated Field ที่มีใน Pivot แบบเก่า) ซึ่งเจ้า Measure นี้ดีกว่าเดิมตรงที่สามารถเขียนสูตรกำหนดวิธีการคำนวณได้อิสระกว่าเดิมมาก (เดิม Calculated Field ทำได้แค่ sum ) โดยที่ Measure สามารถใช้ Function ได้มากมาย ซึ่งฟังก์ชันเหล่านั้นเรียกว่า DAX (คล้ายกับฟังก์ชัน Excel แต่ออกแบบมาเพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลโดยเฉพาะ)

หากรู้จักการเขียน DAX แล้ว บอกได้เลยว่า จะคำนวณอะไรด้วย Pivot ก็ได้ (ถ้าเขียนสูตรเป็น) ซึ่งมันทรงพลังขนาดนั้นเลยจริงๆ นะ เช่น สามารถเขียน Measure ให้ออกมาเป็นรายชื่อสินค้าที่ขายดีที่สุด xx อันดับเลยก็ยังได้

การใช้ Excel Power Pivot ตอนที่ 2 : ทำผลสรุป Value ให้เป็นข้อความด้วย DAX 6

ลองจินตนาการว่า สูตรยากๆ ที่เคยเขียนใน Excel บางสูตรสามารถแทนได้ด้วยสูตร DAX ไปแบบง่ายๆ เลยก็มี แถมยังพ่วงกับการใช้ Pivot Table ที่มี Slicer ให้ใช้อีก ยิ่งสุดยอดไปเลย

ทำความรู้จัก Hero คนใหม่อย่าง Power BI

อย่างที่บอกไปตอนต้นว่า เกม Patch ใหม่นี้ได้ให้โอกาสเราเลือกเล่นเป็น Hero คนใหม่อย่าง Power BI ได้ด้วย แล้วเจ้า Power BI นี่มันทำอะไรได้ล่ะ? แล้วมันกับ Excel ใครเก่งกว่ากัน?

ก่อนจะตอบคำถามว่าใครเก่งกว่ากัน… เพื่อให้งงขึ้นไปอีก ต้องบอกว่า เจ้า Power BI นั้นก็สามารถใช้อาวุธอย่าง Power Query, Data Model และ DAX ได้เช่นเดียวกับ Excel แถมวิธีการใช้งานแทบจะเหมือนกัน 100% คือต่างกันน้อยมากๆ แถมเรายังสามารถโหลด Power BI มาใช้ได้ฟรี และอัปเดทความสามารถทุกเดือนด้วย!

ถ้าอยากทำความรู้จัก Power BI ลองอ่านซีรีส์นี้ได้ครับ

Power BI ตอนที่ 01: Power BI คืออะไร? 2

สิ่งที่ Power BI ทำได้ดีกว่า Excel อย่างเห็นได้ชัด คือความสามารถในการแสดงผลเป็นกราฟนั้นหลากหลายกว่า ง่ายกว่า แถมมีความ Interactive มากกว่า Excel เช่น ใน Power BI สามารถให้ User กดกราฟนึง แล้วมันจะส่งผลกระทบไปที่กราฟอื่นๆ ในรายงานได้ด้วย (ใน Excel ทำได้แค่กด Slicer จึงจะมีผล แต่กดที่กราฟไม่ได้) เรียกว่า Power BI สามารถสร้าง Interactive Dashboard ได้อย่างแท้จริงยิ่งกว่า Excel

นอกจากนั้น Power BI ยังโดดเด่นเรื่องความสามารถในการแชร์ข้อมูลแบบ Online ไปให้คนในองค์กรกดดูรายงานเล่นได้แบบง่ายทั้งผ่านคอมพิวเตอร์ มือถือ หรือ Tablet ก็ได้ แถมยังมีความปลอดภัยสูงอีกด้วย! (แต่ถ้าแชร์รายงานต้องมี User แบบเสียตังค์ทั้งคนส่งและคนดู)

อ้าว… แบบนี้แสดงว่า Power BI ก็เก่งกว่า Excel น่ะสิ แล้วจะมี Excel ไปทำไมอีก?

คำตอบคือ Power BI นั้นเก่งกว่า Excel จริงๆ ครับ แต่เก่งกว่าเฉพาะงานที่ต้องทำรายงานจากข้อมูลที่เตรียมไว้ก่อนแล้ว และต้องการแสดงผลเป็นกราฟสวยๆ และต้องการให้กดเล่นได้แบบ Interactive Dashboard ซึ่งอันนี้ Excel สู้ไม่ได้จริงๆ

แต่ถ้าเป็นงานแบบอื่น เช่น งาน Admin ทั่วไป, การคำนวณทั่วไป. ทำงานเอกสาร, ทำแบบฟอร์ม, ทำ Financial Modeling, ทำ Simulation, ทำ Optimization อันนั้น Power BI แทบจะทำไม่ได้หรือไม่เหมาะเลย โดยเฉพาะ หากต้องการผลลัพธ์เป็นหน้าตาแบบตาราง Excel จะเหมาะกว่า Power BI มาก

นอกจากนั้น Excel ยังกรอกข้อมูลเพิ่มได้อิสระและง่าย เห็นผลลัพธ์เร็ว ในขณะที่ Power BI นั้นแทบไม่มีที่ให้กรอกข้อมูลเพิ่มในตัวมันเอง (มันถนัดในการดึงข้อมูลจากที่อื่นมาสรุปมากกว่า) ซึ่งตรงนี้ Excel ถือว่ากินขาด ถ้าต้องการให้เล่นกับ Input ได้ง่าย

ใครสนใจลองดูคลิปที่มีคนเทียบ Excel vs Power BI ได้ที่นี่

Excel ได้รับบัฟใหม่

ในอดีตถือว่า การเขียนสูตรเป็นความสามารถที่ค่อนข้างแข็งแกร่งของ Excel เลยนะ ทำได้หลากหลาย มีฟังก์ชันไว้รองรับสำหรับเกือบทุกสายงาน ซึ่งนอกจากจะเขียนสูตรใน Cell ของแต่ละ Sheet ได้แล้ว ยังสามารถเอาสูตรไปผสมอยู่ในเครื่องมืออื่นๆ อย่าง Data Validation และ Conditional Formatting ได้อีก ซึ่งอิสระในการสร้างผลงานนั้นสูงมากๆ เรียกได้ว่าพอรู้สูตรเพิ่มอันนึง จะสามารถนำไปผสมกับเรื่องอื่นเพิ่มขึ้นอีกได้มากมาย

แต่พอเวลาผ่านไป เหมือนว่าสูตรใน Excel จะพัฒนาไปค่อนข้างช้า เมื่อเทียบกับตัวละคร Hero คู่แข่งสำคัญอีกคนนั่นคือ Google Sheets ซึ่งกลายเป็นว่ามีจุดแข็งเรื่องการเขียนสูตรมากขึ้นเรื่อยๆ จากการนำเอาสูตรมาผสมกับการเรียกใช้ Service ของ Google แบบ Online ได้เลย จนผมคิดว่าในปัจจุบันสุตรใน Google Sheets นั้นเจ๋งกว่าของ Excel อีก (โดยเฉพาะสูตรเจ๋งๆ อย่าง REGEX, QUERY, FLATTEN, SPLIT อะไรพวกนี้)

มีคนทำ vdo เปรียบเทียบ Excel vs Google Sheets ไว้ 2 ตอนดังนี้

เนื่องจากเกม Patch ใหม่ นั้นเหมือน Excel กำลังโดนข่มจากทั้ง Power BI และ Google Sheets เอง ทาง Microsoft จึงได้พัฒนา Excel ให้มีความสามารถเพิ่มขึ้นมาค่อนข้างทัดเทียมกับ Google Sheets จนใน Excel 365 นั้นก็มี Concept ของการเขียนสูตรแบบใหม่ที่เรียกว่า Dynamic Array + Spill เกิดขึ้น ซึ่งเปลี่ยนวิธีการเขียนสูตรแบบ Array ไปตลอดกาล (ลาก่อนการกดปุ่ม Control+Shift+Enter)

แถมยังมีฟังก์ชันใหม่ๆ โกงๆ เพิ่มมาเยอะแยะ เช่น

  • FILTER (ใช้แทน VLOOKUP ที่ต้องการได้ผลหลายค่าแบบง่ายๆ)
  • SORT (เรียงข้อมูลด้วยสูตร)
  • UNIQUE (Remove Duplicates ด้วยสูตร)
  • XLOOKUP (เกิดมาฆ่า VLOOKUP ทำได้ทุกอย่างที่ VLOOKUP ติดปัญหา)
  • SEQUENCE (สร้างลำดับตัวเลขชิวๆ)
  • LET (สร้างตัวแปรในสูตร ช่วยให้สูตรยาวๆ ยากๆ สามารถแบ่งความคิดได้ง่ายขึ้น)

ซึ่งทำให้การเขียนสูตรหลายอย่างง่ายขึ้นมากๆ เมื่อเทียบกับสมัยก่อน เรียกได้ว่าจากสูตรยาวๆ หลายบรรทัดใน version เก่า ก็เหลือแค่สูตรสั้นๆ ใน Excel365 แถมแสดงได้ผลออกมาได้หลายช่องแบบ Dynamic ตามจำนวนข้อมูลจริงๆ

เปลี่ยนสูตรยากให้เป็นสูตรกล้วยๆ ด้วย Dynamic Array ใน Excel 365 3

สรุปแนวทางการแก้ปัญหา และเครื่องมือที่เหมาะสม

พูดมาก็ยืดยาว ขอสรุปประเด็นปัญหาสำคัญๆ พร้อมทางแก้ไข อันนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผมนะครับ ถ้าไม่เห็นด้วยก็สามารถแชร์ความเห็นกันได้นะ

ปัญหาExcelPower QueryPower BI/ DAX / Data Model
งาน Admin ปกติ เน้นงาน Adhoc แบบทำทีเดียวจบ
กรอกข้อมูลทั่วไป (กรอกวันที่ให้ถูกด้วย)
Sort/Filter คัดกรองข้อมูล
คำนวณสูตรทั่วไป
TRIM ตัดช่องว่างส่วนเกิน
Remove Duplicates
Text to Column แยกข้อมูล
Flash Fill เลียนแบบตัวอย่างที่ใส่
การคำนวณซับซ้อน
เช่น ทำ Financial Model,
เขียนสูตรมากมาย เช่น SUMIFS / INDEX+MATCH / Array formula,
ทำ Conditional Format

ผลลัพธ์เปลี่ยนตาม Input
ที่กรอกง่ายๆ ทันที
ต้อง Refresh ก่อน
จากนั้นค่อยส่งผลเข้าไป Data Model
มีสูตรคำนวณซับซ้อนได้เช่นกัน
แต่ผลลัพธ์จะเล่นกับ Input ได้ไม่สะดวกเท่า Excel
สร้างขอบเขตข้อมูลที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
(Dynamic Range)
Insert -> Tableเหมาะกับข้อมูลที่เป็น
Table เช่นกัน
เอาข้อมูลจาก Power Query เข้าสู่ Data Model
การสรุปข้อมูลจากตารางเดียว สูตรพื้นฐานPivot Table
(ควรสร้างจาก Table อีกที)

ควบคุม Pivot Table หลายตัวได้ด้วย Slicer
สร้างกราฟพื้นฐานสะดวกสุดคือ Pivot Chart
(Link กับ Pivot Table)
การทำกราฟ AdvanceExcel จะมีความยืดหยุ่น
เรื่องกราฟบางอย่าง เช่น ใส่ Error Bar /ใส่รูปลงไปในกราฟ
Power BI จะดีกว่าตรงที่
มีกราฟแปลกๆ ให้เลือกเลย
แถมโหลดเพิ่มจาก internet ได้ด้วย
ทำ OptimizationSolver
Simulation /
Regression Analysis
สูตร,
What if Analysis, Forecast ข้อมูล
Data Table,
Scenario Manager,
Analysis Tool pack
การรวบรวมข้อมูลจากหลายไฟล์Get Data -> form Folder
การดัดแปลงหน้าตาข้อมูลให้เรียบร้อยTransform Data
Filter, Fill Down,
Replace Values,
Replace errors,
Remove Duplicates
Split, Extract Data
Transpose, Group by, Unpivot
การสรุปข้อมูลจาก
หลายตารางสัมพันธ์กัน/
สูตรแบบซับซ้อน
Power Pivot ,
Data Model Actual/Target ,
DAX Measure
การทำงานแบบอัตโนมัติVBA (เขียนโปรแกรม) ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่ทุกคนจะเขียนได้

เหมาะกับงานที่ต้องทำซ้ำๆ ถึกๆ

(อย่างไรก็ตาม สามารถใช้โปรแกรมภาษาอื่นเช่น Python มาทำแทนได้)
มาทดแทน VBA ได้ในส่วนของ
การเตรียมและรวบรวมข้อมูล

สะดวกเพราะมี UI ที่ง่าย แถมกด Refresh
เพื่อทำซ้ำได้เลย แต่ต้องกำหนด Step ดีๆ
ไม่งั้นจะมีปัญหา โดยเฉพาะกรณีหัวตารางเปลี่ยน

สรุปก่อนจากลา

หวังว่าเพื่อนๆ ที่ได้อ่านบทความนี้น่าจะได้เห็นภาพรวมของเครื่องมือใหม่ๆ ไปพอสมควรนะครับ ในอนาคตทาง Microsoft อาจมี Hero ตัวใหม่ที่น่าสนใจให้เราเลือกอีก หรืออาจเสริมอาวุธเจ๋งๆ มาให้ Excel อีกมากมาย เพราะล่าสุดโปรแกรมเมอร์ผู้คิดค้นภาษา Python ชื่อว่า Guido Van Rossum ได้ตกลงร่วมมือเข้าเป็นส่วนหนึ่งของทีม Microsoft แล้ว

มันน่าจะเปิดโอกาสให้เกิดสิ่งมหัศจรรย์อีกมากมาย ไม่แน่ว่าในอนาคต Excel อาจเกี่ยวข้องกับ Python มากขึ้น? ไม่แน่ว่าการทำ Machine Learning จะง่ายขึ้น ทำให้เราอาจจัดการพวก Unstructured Data อย่างรูปภาพ เสียง วีดีโอ ได้ง่ายขึ้นอีกมากก็ได้ ใครจะรู้?